วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

He is good in English.

0 ความคิดเห็น เขียนโดย makerealfreemoneyonline on 03:40

   He is good in English.
        การบรรยายว่า ใครเก่งด้านไหนนั้น ให้ใช้บุพบทว่า to be good at ไม่ใช่ “in
  ที่ถูกต้องคือ  He is good at English.
        ในทำนองเดียวกัน หากต้องการจะบรรยายว่า ไม่เก่งในเรื่องใด เราจะใช้ว่า to be bad at หรือ to be poor at หรือ not good at  เช่น
        She is bad at math.  หล่อนอ่อนเลข
        She is poor at maths.
        She is not good at maths.
        ส่วนสำนวนที่ว่า เขาเป็นเด็กที่เรียนปานกลางนั้น เราจะใช้คำว่า average มาขยาย เช่น
        He is an average student. เขาเรียนปานกลาง
        คำนี้ออกเสียงว่า แอ๊ฝริจ เน้นเสียงที่พยางค์แรก และคำเดียวกันนี้เองที่นำมาใช้บรรยายสิ่งใดก็ตามที่เป็นกลาง ๆ ไม่ดีหรือไม่เลวมาก เช่น การแสดง การเรียน เช่น
        This film is average.
        ภาพยนตร์เรื่องนี้ปานกลาง (งั้นๆ )
        He working performance is average.
        ผลการทำงานของหล่อนนั้นปานกลาง

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

You have bad manner.

0 ความคิดเห็น เขียนโดย makerealfreemoneyonline on 08:55
You have bad manner.
        หลายคนใช้คำนี้โดยไม่มี “s” คำนี้นั้นหากมี “s” จะหมายถึงมารยาท หากไม่มี “s” จะมีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ ในวิถีทางหรือลักษณะเช่นนั้น ดังนั้นในข้อความนี้จึงต้องใช้ว่า
  You have bad manners.
        คุณมารยาททราม
        เมื่อใดที่ต้องการใช้คำที่มีความหมายว่า มารยาท เราจะใช้  manners เช่น
        Table manners มารยาทในการรับประทานอาหาร
        นอกจากนี้แล้ว เรายังพบสำนวนอื่นๆ อีกดังนี้
        Mind/Watch your manners! ระวังมารยาทด้วย
        They have good manners. พวกเขามีมารยาทดี
        They have bad manners. พวกเขามีมารยาทเลว
        Where are your manners? มีมารยาทไหม (มารยาทอยู่ไหน)
        และสำนวนว่า จงทำตัวดีๆ นะ เขาให้ใช้ว่า
        Behave yourself! สำนวนนี้เอาไว้ใช้ได้ในทุกสถานการณ์
        นอกจากนี้ หากเราต้องการจะสื่อว่า เป็นมารยาทที่ดีหรือไม่ดีในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น เราสามารถใช้โครงสร้างว่า
        It’s good/bad manners to do something เช่น
        It’s good manners to bow your head when you walk past the elderly.
        เป็นมารยาทที่ดีที่จะก้มหัวเมื่อเดินผ่านคนที่อาวุโสกว่า
        It’s bad manners to spit in public places
       เป็นมารยาทไม่ดีที่ถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ
        นอกจากนี้ยังมีสำนวนพูดอีกสำนวนหนึ่งว่า มารยาท นั่นคือ Mind your p’s and q’s สาเหตุที่ใช้ p’s and q’s นั้น คาดกันว่าเกิดมาจากการที่เด็กสับสนระหว่างตัว q และตัว p ซึ่งหมายถึงมารยาทที่ดีและมารยาทที่เลว จึงเป็นที่มาของสำนวนดังกล่าว
        นอกจากนี้แล้ว เรายังสามารถใช้ในรูปของคำคุณศัพท์ได้คือ
        To be well - mannered ที่มีมารยาทดี คำนี้อ่านว่า เวล แมนเนิร์ด
        To be bad - mannered ที่มีมารยาทเลว อ่านว่า แบ๊ด แมน-เนิร์ด
        ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใช้ชอบรูปแบบไหน เช่น เขามารยาทเลว เราก็สามารถใช้ว่า
        He has bad manners. หรือ He is bad - mannered.

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

It depend.

0 ความคิดเห็น เขียนโดย makerealfreemoneyonline on 07:19
        It depend.
        เมื่อเราต้องการจะบอกว่า ก็แล้วแต่ ซึ่งหมายความว่า ผู้พูดไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้ คำพูดทำนองนี้นั้นภาษาอังกฤษเขามีให้ใช้สองสำนวน คือ
  It depends. และ That depends. ต้องมี “s” ที่กริยา “depend” เพราะประธานคือ “it, that” นั้น เป็นเอกพจน์ คำว่า “it, that” นั้น เป็นคำที่หมายถึง สิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่ เช่น
        Will you go with us?” คุณจะไปกับเราไหม
        “It depends.” ก็แล้วแต่ (ผู้พูดไม่มั่นใจ)
        นอกจากนี้แล้ว ยังมีสำนวนว่า It depends on + สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า ขึ้นอยู่กับสิ่งนั้นๆ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจของใครคนใดคนหนึ่ง เช่น
        “Are you going with us?” คุณจะไปกับเราไหม
        “It depends on him.” ก็ขึ้นอยู่กับเขา (แล้วแต่เขา)
        “Will you go to the beach.?” คุณจะไปชายทะเลไหม
        “It depends on the weather.” ขึ้นอยู่กับอากาศ
        ดังนั้น หากเราต้องการจะระบุลงไปว่า การตัดสินใจในการทำสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งใด ก็ให้นำเอาสิ่งนั้นไปวางไว้หลังสำนวนดังกล่าว
   He is dependent.
        คำว่า Dependent นั้น มักจะถูกนำไปใช้สับกับคำว่า dependable เพราะทั้งสองคำมาจากรากศัพท์คำเดียวกันคือ to depend คำแรกนั้น คือ dependent อ่านว่า ดีเพ็นเดิ่นท์ หมายถึง ที่ขึ้นอยู่กับใคร ที่ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง เช่น
        เมื่อเราต้องการจะบอกว่า ก็แล้วแต่ ซึ่งหมายความว่า ผู้พูดไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้ คำพูดทำนองนี้นั้นภาษาอังกฤษเขามีให้ใช้สองสำนวน คือ
  He is a dependent person. เขายังพึ่งตัวเองไม่ได้
        ส่วนคำทึ่สองนั้นหมายถึง ที่ไว้ใจได้ อ่านว่า ดิเพ็นเดอะเบิ้ล
    He is dependable. = He is reliable.

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

This job makes me stress.

0 ความคิดเห็น เขียนโดย makerealfreemoneyonline on 02:57

    This job makes me stress.
        งานนี้ทำให้ฉันเครียด
        คำว่า stress เป็นคำนาม หมายถึง ความเครียด และหลังกริยา to make นั้นต้องเป็นคำคุณศัพท์หรือกริยา เช่น The job makes me cry. งานนี้ทำให้ฉันร้องไห้ หรือ The job makes me sad. งานนี้ทำให้ฉันเศร้า
        ดังนั้นหากต้องการจะบรรยายว่างานนี้ทำให้ฉันเครียดหรือทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเครียดนั้น เราใช้ว่า
   This job makes me tense/stressed.
        คำว่า Stressed นั่นถูกทำเป็นกริยาช่องสาม หมายถึง ที่มีความเครียด
        This job causes me a lot lf tension/stress.
   I’m stressful.
        ฉันเต็มไปด้วยความเครียด
        คำว่า “Stressful” นั้นเป็นคำคุณศัพท์ หมายถึง ที่เต็มไปด้วยความเครียด ใช้กับสิ่งของ เหตุการณ์ต่างๆ เท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้บรรยายคนได้
        ดังนั้น เราจึงต้องใช้คำว่า
    I have a lot of stress/tension
        ฉันเต็มไปด้วยความเครียด
        การใช้คำว่า “Stressful” นั้นสามารถใช้ในกรณีต่างๆ ดังนี้
        My life is stressful. ชีวิตฉันเต็มไปด้วยความเครียด
        The job is stressful. งานนี้เต็มไปด้วยความเครียด

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

available

0 ความคิดเห็น เขียนโดย makerealfreemoneyonline on 07:13


 Are you available? แตกต่างกันประโยคว่า Is it available? อย่างไร
คำนี้ออกเสียงว่า เออะเวเหลอะเบิ้ล หมายถึง ที่มีได้ ที่หาได้ ที่ใช้ได้ เช่น
        The information is available at the counter.
        ข้อมูลนี้หาได้ที่เคาน์เตอร์
        The products are available at the malls.
        สินค้าเหล่านี้หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้า
        นอกจากความหมายนี้แล้ว เรายังสามารถใช้ในความหมายว่า ว่าง เช่น      
        Are you available this weekend?
        คุณว่างไหมสุดสัปดาห์นี้
        และก็สามารถใช้ในความหมายว่า ว่างพร้อมที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ได้เช่นกัน เช่น
        He is a  good doctor. He is always available for his patient.
        เขาเป็นหมอที่ดี เขาว่างเสมอสำหรับคนไข้ของเขา
        That teacher is available to give advice to students.
        ครูคนนั้นมีเวลาว่างที่จะให้คำปรึกษากับนักเรียนเสมอ
        และยังใช้ในความหมายว่า เป็นโสด (ยังว่างอยู่ ไม่มีใครมาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ) อาจจะแต่งงานแล้วหย่า ก็เลยเป็นโสดอยู่ เช่น
        She was married two years age. But now she is available.
        หล่อนแต่งงานเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ตอนนี้โสด (หย่าแล้วหรือแฟนตายก็ได้)

My student got straight A อันนี้ก็ผิดนะครับ

0 ความคิดเห็น เขียนโดย makerealfreemoneyonline on 07:10
  My student got straight A.
        นักเรียนคนนี้เรียนได้เกรดเอรวด
  ประโยคนี้คือ อีกประโยคหนึ่งที่คนไทยเรามักใช้ผิดกันบ่อยมากๆๆ

ที่ถูกต้องเราต้องใช้ว่า ->  My student got straight A’s. นะครับ



        การบรรยายว่า ใครได้เกรดเอทุกวิชานั้น ต้องใช้เครื่องหมาย ‘s ไว้หลัง A ทุกครั้ง
        มีอีกวิธีหนึ่งในการบรรยายว่า นักเรียนได้เกรดเอ ก็คือ
My student is an A student.
เมื่อเราต้องการจะลอกว่า นักเรียนคนใดได้เกรดอะไร เราจะใช้คำว่า
To get a/an เกรด in วิชานั้น ๆ เช่น
He got an A in English.
He got a B in French.
He got a C in logics.
She got a D in computers.
She got an F in math. เป็นต้น
และหากต้องการจะบรรยายว่า ใครสอบตกนั้น เขาใช้ว่า
My friend flunked English last semester.
เพื่อนของฉันสอบตกวิชาภาษาอังกฤษเมื่อเทอมที่แล้ว
คำว่า flunk นั้น สามารถใช้ได้ทั้งคนที่สอบตกวิชานั้นหรือผู้สอนให้ตกหรือให้ “F” ก็ได้เช่น
The teacher flunked him in English last semester.
ครูให้เขาสอบตกวิชาภาษาอังกฤษเมื่อเทอมที่แล้ว
ดูประโยคต่อมา  
His English was so poor that his teacher flunked/failed him.
ภาษาอังกฤษเขาแย่มากจนครูให้เขาสอบตก
He passed the written test, but failed the oral test.
เขาสอบผ่านข้อเขียนแต่สอบตกข้อสอบปากเปล่า
เมื่อต้องการถามเพื่อนหรือใครก็ตามว่า สอบผ่านหรือเปล่า เราสามารถใช้ว่า
Did you pass? สอบผ่านไหม
No, I failed.  ไม่ ฉันสอบตก
How was the test? วิชานี้สอบเป็นไงบ้าง
การตอบ หากทำได้ดี ก็ตอบว่า  I did it pretty well.
หากพอทำได้  I did it fairly well.
หากทำได้  I did it badly.
How well did you do on the test? คุณทำวิชานี้ได้ดีแค่ไหน
หากสอบตกในวิชาไหนแล้วต้องลงใหม่ เราจะใช้ว่า
I think I have to repeat it/take it again.

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

You are over. และ It is in trend.

0 ความคิดเห็น เขียนโดย makerealfreemoneyonline on 12:25
You are over. (เธอทำอะไรเวอร์ๆ)
สำนวนนี้คนไทยขอบพูดในลักษณะที่ว่า ทำอะไรเกินจริง เช่น พูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ในภาษาอังกฤษนั้นเขาใช้แยกกัน หากเป็นการพูดเกินจริงเขาใช้ว่า
หากต้องการใช้คำนามให้ใช้คำว่า difference หมายถึง อะไรคือความแตกต่าง
 You’re exaggerating อ่านว่า เอ๊กส์แซ๊กเจอเร็ทติ่ง ดังนั้นหากจะบอกใครว่า อย่าโม้หรืออย่าพูดอะไรเกินจริงนั้น เขาให้ใช้ว่า Don’t exaggerate. หรือ Stop exaggeration! (เน้นพูด)
        ส่วนประโยคนี้ เขาเอาไว้ใช้เมื่อต้องการจะสื่อว่า ทำอะไรเกินจริง (ทำอะไรเวอร์ๆ) หรือแสดงอารมณ์ที่เกินจริง เขาจะให้ใช้ว่า You’re overacting. หรือตอนที่จะเบรกใครไม่ให้เกิดอาการอย่างที่ว่าก็ใช้ไปเลยว่า Hey! Don’t overact. หรือ Hay! Stop overacting! เฮ๊ยๆ หยุดเว่อร์ได้แล้ว

It is in trend.


คำนี้หมายถึง อะไรก็ตามที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นความคิด เสื้อผ้า หรืออะไรก็ตามที่ทันสมัย ดังนั้น เราสามารถใช้คำว่า Fasthionable แทนคำนี้ได้เลย เช่น trendy ideas ความคิดที่ทันสมัย  / a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย ดังนั้น ที่ถูกต้องเราต้องใช้ว่า It's trendy.
        แต่หากต้องการจะใช้ว่าสิ่งใดกำลังอยู่ในสมัยนิยม เราสามารถใช้ว่า Dark clothes are in today.  สำนวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง To be in นั่นก็มีความหมายเช่นเดียวกับสำนวนว่า  to be trendy